Tin & Tina กับเรื่องราวชวนเครียดแทน
เรื่องย่อมีอยู่ว่า หลังจากแท้งบุตรอย่างน่าเศร้า สองสามีภรรยาจึงได้รับเลี้ยง สองแฝดเผือกชายหญิงที่กำพร้ามาจากโบสถ์ เด็กทั้งสองผ่านการเรียนแบบเคร่งศาสนามาตั้งแต่จำความได้ ซึ่งทำให้พวกเขาตีความไบเบิลไบเบิลแบบคำต่อคำและกลายเป็นปัญหาในการปรับตัวกับโลกภายนอก
เรื่องนี้เป็นผลงานของผู้กำกับหน้าใหม่อย่าง รูบิน สไตน์ (Rubin Stein) ที่นิตยสารอย่าง Variety เคยจัดอันดับเป็น 1 ใน 10 นักสร้างหนังหน้าใหม่ที่น่าจับตามอง หลังจากผลงานชุดหนังสั้นแนวสยองขวัญภาพขาวดำของเขาถูกรับเลือกไปตระเวนฉายในหลายเทศกาลหนังทั่วโลก โดยเฉพาะ ‘Tin & Tina’ (2013) ที่เป็นเรื่องแรกในชุด ก็ได้ถูกเลือกให้พัฒนามาเป็นหนังยาวเรื่องแรกของสไตน์ และหากประสบความสำเร็จก็อาจได้เห็นหนังยาวจากชุดหนังสั้นเรื่องที่เหลืออย่าง ‘Nero’ (2017) และ ‘Bailaora’ (2018) ตามมาก็ได้
‘Tin & Tina’ ฉบับดูหนังยาวนี้ได้ขยายเรื่องราวผ่านสายตาของคุณแม่ โลลา ในวันที่มีความสุขที่สุดอย่างวันแต่งงานเธอกลับแท้งลูก และถูกหมอบอกว่าเธอจะไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีกทำให้เธอหมดศรัทธาต่อพระเจ้า แต่สามีของเธอที่เป็นนักบินและไม่ค่อยอยู่บ้านอยากให้เธอมีคนอยู่เป็นเพื่อนจึงคะยั้นคะยอให้ไปรับบุตรบุญธรรมจากโบสถ์ และนั่นคือการพบกับเด็กแฝดเผือกที่โดดเด่นและไร้เดียงสาอย่าง ทิน และ ทินา
พวกเขาเป็นเด็กที่บริสุทธิ์ทั้งความคิดและจิตใจ ร่าเริงและออดอ้อน แต่กระนั้นก็มีความหมกมุ่นจริงจังในเรื่องของไบเบิลคำสอนของศาสนาคริสต์อย่างเข้มข้น จนแยกไม่ออกระหว่างคำสอนเปรียบเปรยที่ต้องตีความกับเรื่องจริง สมมติว่าไบเบิลกล่าวว่าบุตรพระเจ้าสละไวน์ให้ผู้คนดื่มกินโดยบอกว่านี่คือเลือดของเรา ทินและทินาก็อาจกรีดเลือดของตนหรือแม่ชีที่น่าเคารพมาบ่มเป็นไวน์ได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ และสิ่งเหล่านี้สร้างความหลอนและกังวลใจต่อโลลาขึ้นมาทีละนิด จนกลายเป็นความหวาดระแวงว่าทินและทินาคือเด็กปีศาจในที่สุด
จุดที่น่าสนใจของการดูหนังออนไลน์เรื่องนี้คือการที่นำเสนอ ทินและทินา สองแฝดด้วยความเป็นเด็กน้อยที่มองโลกอย่างตรงไปตรงมา และกระทำความชั่วร้ายด้วยใจศรัทธาอย่างบริสุทธิ์อย่างยิ่ง จนกล่าวได้ว่าสองเด็กน้อยก็อาจเป็นเหยื่อที่น่าสงสสารได้เช่นกัน ทั้งนี้กลวิธีของสไตน์คือให้คำใบ้ออกมาอย่างไม่ชัดเจนว่าจริงแล้วพวกเด็กนั้นเข้าใจในความหมายของสิ่งที่กระทำมากแค่ไหนหรือจริงแล้วเพียงเอาไบเบิลมาแอบอ้างต่อความอยากในจิตใจของพวกเขา จนกระทั่งจบเรื่องก็เชื่อว่าคนดูแต่ละคนคงมีคำตอบออกมาหลากหลาย
นอกจากการตีความในแง่ของศาสนาที่ล้างสมองคน หนังยังสอดแทรกเหตุการณ์ในโทรทัศน์ที่ทำให้รู้ว่าฉากหลังของเรื่องน่าจะอยู่ในยุคที่การเมืองสเปนเข้มข้นสุดขีดช่วงหนึ่ง โดยเราได้เห็นข่าวเหตุการณ์การรัฐประหารในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 1981 เมื่อพันโทอันโตนิโอ เตเจโร พร้อมด้วยกำลังพลติดอาวุธ 200 นาย บุกเข้าไปในห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎรในกรุงมาดริดระหว่างการลงมติสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของประธานรัฐบาลคนใหม่ กลุ่มรัฐประหารจับสมาชิกรัฐสภาและรัฐมนตรีเป็นตัวประกันเป็นเวลานานกว่า 18 ชั่วโมง ก่อนจะถูกปฏิเสธความชอบธรรมจนคณะรัฐประหารต้องยอมวางอาวุธมอบตัวเนื่องจากกษัตริย์สเปนไม่ยอมรับรองการทำรัฐประหารและกล่าวประนามผ่านสถานีโทรทัศน์ เช่นเดียวกับในช่วงท้ายเรื่องเราจะได้เห็นเหตุการณ์การเมืองที่คลี่คลายมีการตั้งรัฐบาลใหม่ ซึ่งก็อาจนำไปพิจารณาถึงสารที่ซ่อนอยู่ในเรื่องอีกชั้นหนึ่งได้ด้วย แล้วแต่ว่าใครจะตีความอย่างไร
ด้วยฉากหลังในช่วงปี 1980 หนังจึงโดดเด่นจากการออกแบบศิลป์และเพลงที่ย้อนยุคและน่าสนใจ มีความแปลกประหลาดไม่เข้ากับเหตุการณ์แต่ก็ชวนหลอน อย่างฉากการแสดงกลจานหมุนของพวกเด็ก ๆ ประกอบเพลงเก่าที่เนื้อหาชวนขบขันและงุนงง ต้องขอบคุณที่เว็บดูหนังออนไลน์มีการแปลเนื้อหาของเพลงมาด้วยทำให้เข้าใจบริบทของการแสดงฉากนั้นมากขึ้นและหลอนดีทีเดียว
นอกจากนี้ผู้กำกับสไตน์ยังแสดงความทะเยอทะยานผ่านฉากลองเทคในช่วงท้ายของหนัง ที่มันอาจไม่ได้ทรงพลังขั้นสุดแต่ก็สัมผัสได้ถึงความตั้งใจและพยายามในการนำเสนอจากผู้กำกับหน้าใหม่คนนี้ น่าจับตามมองอย่างที่นิตยสารภาพยนตร์ดังกล่าวไว้จริง ๆ
หนังได้ มิเลนา สมิต (Milena Smit) จากดูซีรีส์ออนไลน์ ‘The Girl in the Mirror’ (2022) มารับบทโลลาคุณแม่ที่หวาดระแวง และได้ ไอมี ลอเรนเต (Jaime Lorente) จากซีรีส์ ‘Money Heist’ (2018) มารับบทอดอลโฟคุณพ่อที่พยายามทำให้ครอบครัวสงบสุข และนำเสนอดาราเด็กที่น่าสนใจอย่าง อนาสตาเซีย รุสโซ (Anastasia Russo) กับ คาร์ลอส กอนซาเลส โมรอลลอน (Carlos González Morollón) มารับบท ทินา และทิน ตามลำดับ ซึ่งทุกคนก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี