The Flash ฉบับทุน 200 ล้าน ที่จะทำให้ผู้ชมต้องอึ้ง จริงๆนะ

แบรี อัลเลน (เอซรา มิลเลอร์ – Ezra Miller) เจ้าหน้าที่นิติเวชแห่งเซ็นทรัล ซิตี้ที่มีชีวิตอีกด้านเป็นซูเปอร์ฮีโรในนามเดอะ แฟลช แต่แม้จะทำความดีพิทักษ์โลกแค่ไหนแต่อัลเลนต้องเผชิญความอยุติธรรมเมื่อพ่อต้องรับกรรมจากคดีฆาตกรรมแม่ตัวเองทั้งที่ไม่ได้ทำผิด และในวันหนึ่งอัลเลนก็พบความสามารถของสปีดฟอร์ซตัวเองที่ทำให้เขาย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตจนทำให้ นายพลซอร์ด (ไมเคิล แชนนอน – Michael Shannon) คู่ปรับซูเปอร์แมนโผล่มาทำลายโลก มิหนำซ้ำ แบรี อัลเลน อีกคนที่เขาได้เจอดันเป็นคนที่ไม่มีพลังอะไรเลย งานนี้เขาจำเป็นต้องรวมทีมเมตาฮิวแมนเพื่อต่อกรกับนายพลซอร์ด ก่อนโลกใบนี้จะถูกทำลาย

บทภาพยนตร์ที่เขียนโดย คริสตินา ฮอดสัน (Christina Hodson) กับโจบี ฮาโรลด์ (Joby Harold) หาทางออกฉลาด ๆ ให้ดูหนังออนไลน์ได้เป็นอย่างดี เพราะโจทย์ยากของ ‘The Flash’ คือหนังมาตามหลัง ‘Justice League’ ซึ่งไม่เคยบอกที่มาของเดอะแฟลชและการจะมาเล่าต้นกำเนิดตรงๆ ก็ดูไม่เข้าท่าเพราะผู้ชมได้เห็น มิลเลอร์ในฐานะ เดอะ แฟลช ไปแล้ว ดังนั้นหนังจึงอาศัยช่องว่างของประเด็นที่ยังไม่เคยพูดถึง

คือการเป็นแพะรับบาปของ เฮนรี อัลเลน (รอน ลิฟวิงสตัน-Ron Livingston) พ่อผู้น่าสงสารของแบรี ที่ต้องติดคุกในคดีฆาตกรรมแม่ตัวเอง และหลังจากเขาบังเอิญใช้พลังของสปีดสเตอร์จนสามารถเดินทางย้อนเวลาได้ เควสต์สำคัญของแบรี คือการพยายามกลับไปแก้ไขอดีตเพื่อให้เขาได้เจอครอบครัวตัวเองพร้อมหน้าอีกครั้ง นั่นทำให้สองมือเขียนบทอย่างฮอดสัน สามารถสานต่อประเด็นทั้งการบอกที่มาของพลังความเร็วเหนือแสง ผ่าน แบรี อัลเลน อีกคนที่ยังไม่มีพลัง หรือการปูดราม่าครอบครัวที่จะส่งผลให้เกิดผลกระทบทางอารมณ์ต่อผู้ชมอย่างรุนแรงในตอนท้าย ซึ่งขอเตือนว่าใครบ่อน้ำตาตื้นควรพกทิชชู่เข้าโรงหนังด้วย

พูดถึง เดอะ แฟลช พระเอกของเรากันก่อน จะว่าไป คนที่รับบทเดอะ แฟลช แต่ละคนต่างก็มีเอกลักษณ์ประจำตัวไม่เหมือนกัน อย่าง จอห์น เวสลีย์ ชิปป์ (John Wesley Shipp) ในเวอร์ชันซีรีส์ปี 1990 ก็แทนภาพฮีโรสุดล่ำที่มีพลังความเร็วแสงหรือจะเป็น แกรนต์ กัสติน (Grant Gustin) นักแสดงเท้าไฟจากซีรีส์ ‘Glee’ ที่มารับบท แบรี อัลเลน หรือ เดอะ แฟลช ฉบับซีรีส์ตั้งแต่ปี 2014 ถึงปัจจุบันที่สร้างภาพจำของเดอะ แฟลช ยุคใหม่หน้าหล่อและมีมูฟเมนต์ที่น่าจดจำจนแฟน ๆ ยกย่องให้เขากลายเป็น เดอะแฟลชที่ดีที่สุด

สำหรับเดอะ แฟลชฉบับดูหนังออนไลน์ของ เอซรา มิลเลอร์ ก็เลือกสร้างความแตกต่างด้วยการขายบุคลิกสุดไฮเปอร์ที่เหมือน ผู้กำกับเอาคาแรกเตอร์ของมิลเลอร์ บางส่วนมาดัดแปลงให้เข้ากับบุคลิกของ แบรี อัลเลน ซึ่งมีทั้งความฮาจากบุคลิก ‘ล่ก ๆ ‘ และ มุกด้านงานภาพที่ใช้ความสามารถในการเคลื่อนที่ในระดับความไวเหนือแสงของเดอะ แฟลชมาสร้างเสียงหัวเราะ ได้ดีทีเดียว
นอกจากนี้หนังยังใส่บทดราม่าที่เราขอไม่สปอยล์ แต่อยากจะบอกว่ามิลเลอร์ได้ทำให้ชะตากรรมของ สปีดสเตอร์ อย่างเดอะแฟลช ทั้งน่าเห็นใจ และเราอดเสียน้ำตาให้เขาไม่ได้เลย

ความไฮป์ที่ทำให้การดูหนังออนไลน์สำคัญอย่างหนึ่งจากตัวอย่างหนังคือการปรากฎตัวของแบทแมน (Batman) สองยุค ได้แก่ ฉบับสไนเดอร์เวิร์ส (Sniderverse) ที่รับบทโดย เบน แอฟเฟล็ก (Ben Affleck) และฉบับคลาสสิกของผู้กำกับ ทิม เบอร์ตัน (Tim Burton) ที่ได้ ไมเคิล คีตีน (Michael Keaton) แบทแมนในดวงใจใครหลายคนกลับมาสวมชุดค้างคาวอีกครั้ง
ซึ่งบอกกันตามตรงว่า หนังเหมือนจะให้น้ำหนักกับแบทแมนของคีตันเสียมากกว่า ไม่ใช่ว่า ฉบับแอฟเฟล็ก โผล่มาน้อยจนน่าเกลียดนะครับ ตรงกันข้าม แบทแมนสไนเดอร์เวิร์ส ถือว่าถูกนำเสนออย่างให้เกียรติกับ แซ็ก สไนเดอร์ มากเลย เพียงแต่ด้วยโครงเรื่องที่มีการเดินทางข้ามเวลา เลยทำให้ บรูซ เวย์น ของ คีตัน ถูกให้ความสำคัญมากที่สุด

และที่สำคัญคือการปรากฎตัวของ ไมเคิล คีตัน แต่ละครั้งเต็มไปด้วยความไฮป์จนเด็กยุค 90’s อดกรีดร้องไม่ได้จริง ๆ ที่สำคัญคือบทภาพยนตร์ก็ทำให้คาแรกเตอร์ของคีตันมีผลต่อเนื้อเรื่องมาก ๆ ไม่ได้โผล่มาเซอร์ไพร์สแบบมีที่มาที่ไป และยังได้แสดงความชาญฉลาดในฐานะกุนซือของทีมฮีโรอีกด้วย อีกตัวละครใหม่ของหนังอย่างซูเปอร์เกิร์ล (Supergirl) ต้องบอกว่าดีไซน์มาได้จัดจ้านมาก และการได้ ซาชา แคลล์ (Sasha Calle) มารับบท คาร่า ซอแอล (Kara Zor-El) ญาติผู้น้องของซูเปอร์แมนก็ทำให้คาแรกเตอร์ ซูเปอร์เกิร์ลของแคลล์ถูกตีความให้มีความแข็งแกร่งและดูบอยกว่าฉบับซีรีส์ที่รับบทโดย เมลิสซา บีนอยส์ (Melissa Benoist)

จากการดูหนังออนไลน์รอบนี้ ก็ขยี้คริปโตเนียนอีกรอบ ซึ่งมันทำให้เราเชื่อได้เลยว่า เพศของชาวคริปตันไม่ได้มีปัญหาในการปกป้องโลกจริง ๆ และต้องยอมรับว่าภาพหลายมุมในหนังทำให้แคลล์ มีเสน่ห์กร้าวใจกับทั้งหนุ่ม ๆ และสาว ๆ ได้ไม่ยากเลยจริง ๆ จะมีติงก็แค่ หากเทียบคาแรกเตอร์ของเธอกับเดอะ แฟลชและแบทแมนของคีตันแล้ว หลายซีนอาจจะทำให้เธอดูไม่เด่นเท่าที่ควร ท้ายสุดนี้คือสิ่งที่เราอาจจะบอกแบบเต็มปากเต็มคำไม่ได้ แต่อ้างอิงจากบทสัมภาษณ์ของ แอนดี มูสเช็ตติ (Andy Muschietti) ผู้กำกับหนังว่าเขาต้องการยกย่องเจตนารมณ์ของ แซค สไนเดอร์ (Zack Snider) ที่เคยวางแผนให้กับจักรวาล DC ซึ่งก็แน่นอนว่า เซอร์ไพร์สดังกล่าวก็อยู่ในคำพูดนี้ด้วย หรือกระทั่งภาพยนตร์และดูซีรีส์ออนไลน์ในจักรวาลฮีโร DC ต่าง ๆ ก็อดทำให้ผู้ชมที่เป็นแฟน ๆ ของ DC กรีดร้องและอดพูดคำว่า “มันบ้าเกินไปแล้ว” ไม่ได้จริง ๆ